Thursday, February 26, 2009

รวมมิตร ข้อคิด สะกิดใจ :p

โอเค ตั้งใจว่าจะเริ่มเขียนๆสะสมไว้หน่อย ไม่อยากให้มันผ่านๆไป (มีหลายอันลืมไปเยอะแล้ว -"-)...

- [26 Feb 2009] ความเครียด = ความต้องการ/ความสามารถ

ดังนั้นจะลดความเครียดได้ก้อมีสองทาง ไม่ลดความต้องการ ก้อ เพิ่มความสามารถของเราซะ!

Sunday, November 23, 2008

สองพี่น้องเถ้าแก่น้อย

ตั้งใจว่าจะเล่าตั้งนานแระ แอบผัดผ่อนมาซักระยะ(ใหญ่ๆ) วันนี้ก้อวันสุดท้ายของ 2008 แล้ว ต้องทำให้เสร็จซะทีล่ะ :p ...

เริ่มจากมีความตั้งใจมานานแล้วล่ะ อยากหาอะไรทำวันเสาร์-อาทิตย์ นอกจากเดินห้าง ออกกำลังกาย อ่านหนังสือ จะได้ค่าขนมเพิ่มเติมมาหน่อยก้อยังดี

พอดีไปเที่ยวต่างจังหวัดแล้วเจอเจ้ากระเป๋าสีสดๆ มีคนมารุมล้อมเยอะเหลือเกิน คนนึงหยิบไปก้อคนละ 3-4 ใบ คุยกะน้อง ฮืมม น่าเอามาขายที่เชียงใหม่ ใช้เวลาตัดสินใจไม่นานก้อ เอาล่ะลุยกัน เดี๋ยวผมเป็นนายทุนให้น้องเอาไปขาย กำไรแบ่งกันคนละครึ่ง

เริ่มขายครั้งแรกตอนปลายเดือน ตุลา มาถึงตอนนี้ก้อ สองเดือนแล้วล่ะ ตอนนี้มี P ตัวแรกที่เป็นจุดเริ่มต้นแล้ว คือ Product ... P อีกตัวที่สำคัญรองลงมาคือ Place

ทำเลๆๆๆๆๆ ว่ากันว่าถ้าตัวนี้ไม่เจ๋งจริง ก้อไม่ต้องคิดถึง P อันอื่นเลย T T โจทย์คือ ต้องเป็นที่ๆ มีกลุ่มเป้าหมายไม่ซ้ำหน้า มีนักท่องเที่ยว เพราะกระเป๋าไม่ใช่สินค้าซื้อซ้ำอ่ะเนาะ ไปๆมาๆ ก้อได้ที่ถนนคนเดินสองที่ในเชียงใหม่ ที่แรกเป็น ถนนคนเดินวัวลายที่เปิดขายวันเสาร์ อีกที่นึงเป็นถนนคนเดินวันอาทิตย์บริเวณวัดพระสิงห์(ขยายมาจากท่าแพ)

ขอเล่าเพิ่มเติมถึงระบบขายของถนนคนเดินกันซะนิดหน่อย โดยปกติแล้วจะมีการจับจองเป็นกรรมสิทธิ์กันจ่ายค่าบำรุงต่อปีไม่กี่ร้อยบาท (ย้ำต่อปี!) นอกนั้นค่าบำรุงทั่วไปต่อวัน 5บาท ละก้อค่าไฟ 10 บาทต่อดวงต่อวัน มาเทียบกับที่กทมแล้วอื้อฮือ อย่าง JJ เนี่ยเดือนละ 15k-20k เลยเอ้า ... ว่าแล้วก้อคุยกะน้องชายให้ไปสืบถามว่าทำอย่างไรจะมีความเป็นเจ้าของได้ ผลปรากฏว่า วันเสาร์ได้สิทธิ์มาเป็นของตัวเอง แต่ ... ไม่ใช่ถนนเส้นหลักของวัวลาย ได้ส่วนต่อขยายบริเวณหน้าวัดศรีสุพรรณแทน T T ...นะ...ไม่เป็นไรคว้าไว้ก่อน แต่อย่างน้อยก้อยังดีที่วันเสาร์ เค้าจะมีการจับฉลากคิวให้คนทั่วไป ได้มาขายแทนเจ้าของพื้นที่บนถนนเส้นหลักที่เค้าไม่ได้มาขาย จะเริ่มจาก

1.) 11 โมงเช้าของวันเสาร์ให้มาจับลูกปิงปองก่อนว่าได้ลำดับในการเรียกให้มาขายแทน แล้วก้อเอาลูกปิงปองไปแลกบัตรสีแดงหลังจากที่ทุกคนจับกันเสร็จ
2.) หลังจากนั้นตอน 1:45 ให้เอาบัตรสีแดงมาแลกเป็นบัตรขาว แล้วลงชื่ออีกที ถ้าใครไม่มาก้อจะเลื่อนลำดับถัดไปขึ้นมาแทน
3.) ตอน 4 โมง ก้อกลับมารอเค้าเรียกชื่อ โดยเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าที่ตรงไหนที่เราจะได้ ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าของที่นั้นๆ ได้โทรมาแจ้งกลับมายังสำนักงานว่าไม่ได้มาขาย เมื่อไหร่ก้อเมื่อนั้นลำดับนั้น ...
4.) ขายของได้ตั้งแต่ 4 โมงเย็น ถึง 5 ทุ่ม (ถ้าเป็นหน้าเทศกาลก้อจะขยายถึง เที่ยงคืน) เวลาขายจะเหมือนกันทั้งวันเสาร์-อาทิตย์ครับ

ส่วนใหญ่แล้วถ้าเป็นช่วงหน้าเทศกาลจะมีพวกเจ้าของที่กลับมาขายของกันเยอะ ถ้าไม่ได้ลำดับ 10กว่าๆ ก้อเอวังครับ : ( ถ้าเป็นช่วงปกติ 20-30 กว่าๆ ก้อได้ลุ้นอยู่นะ

ส่วนวันอาทิตย์พอดีมีลูกป้าเค้าช่วยหาที่ขายให้โชคดี :D อยู่ใกล้ๆวัดพระสิงห์ตั้งร้านอยู่กลางถนนเลย แจ่มมาก ... เทียบยอดขายสองวันแล้ว วันที่สองจะขายได้เยอะกว่าตลอด ... ฮืม....ครับ อย่างที่บอกของอย่างงี้อยู่ที่ทำเลจริงๆ

ส่วน Price + Promotion ผมรวบเลยละกัน กำไรที่ได้ก้อประมาณ 25-30% ของยอดขาย ถือว่ายังน้อยอยู่นะ ถ้าถือว่าเป็นการขายปลีก (แต่ก้อชนะเงินเฟ้อ อัตราผลตอบแทนพวกกองทุน แหะๆ) เอาหน่ะ ... ถือว่ากินน้อยแต่กินได้เรื่อยๆละกันเนาะ (จริงๆสาวเล็กสาวใหญ่ มาออดอ้อนขอลดหน่อย ก้อไม่เปนไรหยวนๆ อิอิ) เท่าๆที่คำนวณคร่าวๆดูแล้ว ขายไปปะมาณ 3 เดือนกว่าๆก้อจะถึงจุดคุ้มทุน (ลุงทุนไปประมาณ 16k) หากว่าจะลุงทุนเพิ่มขนาดก้ออีกเรื่องนึงน่อ

หน้าที่หลักๆของการขายก้อจะเป็นน้องชาย ส่วนผมจะดูเรื่องการทำบัญชี ติดต่อผู้ผลิต สั่งออร์เดอร์ ละก้อกลับไปช่วยขายด้วยบางครั้ง (ตั้งใจว่าเดือนละครั้ง หรือ ช่วงที่น้องชายติดธุระ)

อื้อลืมเล่าเรื่องชื่อร้าน ... ว่าจะช่วยน้องชายคิดแต่วันนั้นติดงาน น้องชายคิดมาให้ สองสามชื่อ มี รัตนสาน(รัตน นี่มาจาก รัตนพันธุ์ กับ รัตนพล ส่วนสานนี่ตั้งใจให้มันมีอะไรเกี่ยวกับกระเป๋าที่เป็นงานสาน) อีกชื่อนึง ล้านสาน (ล้านมาจากล้านนา) ดูคร่าวๆตอนแรกคิดอยู่ว่า รัตนสานน่าจะแจ่ม แต่ดูความหมายแล้วคืออีกชื่อนึงของเขาพระสุเมรุ อะไรเกี่ยวกับเมรุๆ ก้อเลี่ยงละกัน เลยตกลงกันว่าเอา 'ล้านสาน' เป็นชื่อร้าน (เผื่อได้เงินล้านกะเค้าด้วย :p) หลังจากนั้นก้อได้ชื่อเอาไปทำนามบัตรกันสวยงาม ไว้จะลงรูปร้านเยอะๆอีกทีละกันครับ

ประสบการณ์ในการขายวันแรก ตื่นเต้นมากกก โทรหาน้องแทบทุกชั่วโมง กลัวมันรำคาญนะ แต้ก้ออดตื่นเต้นด้วยไม่ได้ + เป็นห่วง ยอดขายวันแรกไม่เลวเลย 6พันกว่า (อื้อฮือ) ส่วนต่างของราคาทุนผมคำนวณให้แล้วก้อประมาณ สองพัน หลังจากนั้นก้อไม่เลวนะเฉลี่ยๆก้อเดือนนึงได้ส่วนต่างของราคาขายกับคาราทุนประมาณ ห้าถึงหกพัน :)

พูดถึงนอกเหนือจาก กำไรที่จะได้จากการขาย, ความรู้ทั่วๆไปเรื่องการจะเป็นเถ้าแก่ เช่นการเงิน การบัญชี การตลาด, การจัดการทั่วไป (ส่วนการผลิตคงไม่เน้นมากครับ เพราะรับเค้ามาขายอีกที) ... สิ่งที่ได้กลับมาด้วยก้อคือ ถ้าวันไหนลางานกลับมาเชียงใหม่ก้อเหมือนได้กลับมาพักผ่อนไปในตัว ขายเหนื่อยๆก้อแปะมือน้อง แล้วก้อเดินไปหาอะไรกิน เดินดูของแปลกๆ ดูไอเดียของเจ้าของร้านต่างๆ ที่สำคัญ ผมรู้สึกว่าน้องชายรู้ค่าของเงินขึ้นมากกว่าเมื่อก่อนนะ มีความรับผิดชอบมากขึ้น 4 โมงเมื่อไหร่ก้อจะขนถุงกระเป๋า 2-3ใบ ตระแกรง ละก้อเก้าอี้ ไปกับเจ้าเวสป้า (ขนได้เยอะดีจริงๆ)

ถ้าถามถึงอนาคตของการขายกระเป๋านี้ ... รอดูอีกสักหน่อยละกันให้นิ่งๆกว่านี้ ว่ากันว่า ภายในหนึ่งปี ธุรกิจขนาดเล็ก เหลือไม่ถึง 60% มีหลายอย่างอยากทำเพิ่ม เช่นทำเว็บให้น้องชาย (ติดมา 2 เดือนแระ :p ) หาช่องเอายอดวันธรรมดา หรือรวมไปถึง คิดสินค้าใหม่ขึ้นมา เอามา match กับความต้องการของตลาด หรือ สร้างความต้องการของตลาดขึ้นมาใหม่เลย อันนี้ยากหน่อยแต่ผมคิดว่ามันเป็นไปได้อยู่ถ้าพยายามอย่างจริงจัง หรือ ไม่ยอมแพ้กลางทางไปซะก่อน

สุดท้ายนี้ก้อขอเอาใจช่วยคนที่กำลังคิดอยากจะลองเริ่มหาอะไรทำเป็นของตัวเอง เริ่มจากเล็กๆก่อนก้อได้ครับ แล้วค่อยขยายเป็นฝันใหญ่ๆขึ้น

เอาหัวใจคิดเป้าหมายก่อนแล้วค่อยใช้สมองคิดวิธีการที่จะนำเราไปสู่เป้าหมายอีกที ...

ps: ขอให้คนอ่าน ละก้อ คนที่เป็นที่รักของคนอ่านมีความสุข มีสิ่งดีๆเข้ามาในชีวิตกันทั่วหน้าในปี 2009 นะคร๊าบ ^^

Saturday, May 24, 2008

Safe to save

Found this article in Bangkok Post, My Life vol1 - 22 May 08.
For someone, I think this would be the well-known/classic story but I still cannot accomplish all of them. So, just write them into my blog and gimme my own rate & action!

  • Know what you have earn & where the money goes

    Write down what you spend & classify them into categories: food, shopping, rent, travel, entertainment, education, healthcare, utility bills, debt service
    Then you will have a good estimate of what your saving capacity is.

    Rate: F - Even though I did try to do for months, I broke my rules in the end of last year.
    Action: Do it again! Also, keep my written excel sheet simple as much as it should
    .


  • Set your saving target

    Genrally, it is recommended to set aside 10-25% of your earnings for saving & future investment.
    This mean you may need to trim certain spending to match the target.

    Rate: D - I'm not so in the comfortable area in saving concrete amount of money. Some of my saving money went away with unnecessary in some time.
    Action: Excluding, provident fund, paying for a condominium (it's classified a debt not saving), I should have 10% in every month.


  • Pay credit card in full and on time

    Do you know that the interest and collection charges combine can range from 18-30%+?

    Rate: B - Mostly pay in full except the time that it was over 20k (ATM can give me money with that number). Only one time late w/ extra charges.
    Action: Will pay before the deadline, I need to have a clean history of credit bureau as I have to contact bank for personal loan in next 2 years.
  • Examine your debt unnecessary debt put extra burden on your budget. So settle it if you can.

    Rate: C - Few times that my money was went away with unconscious stuffs.
    Action: Lessen starbuck coffees, read the existing books, use more internet for reading news, conciously use mobile phone, iron clothes in a batch and sometimes go to Chiangmai by bus/train.


  • Minimize your tax - LTF, RMF, provident fund & Life insurance

    The higher your tax, the more benefit you have from your tax saving

    Rate: B+ - Provident funds (9.75% of my salary), LTF and Life insurance are my collections.
    Action: Have a concrete portion for LTF in each month (3-5% of salary). This will be good for DCA. Performance bonus should be firstly spent for Life insurance.

  • Extra earning goes to extra saving, at least some if not all.

    For example, you ought to reinvest your dividends regurly.

    Rate: F - Don't have a second channel for getting money yet. Although put the money into Mutual fund but the ROI is so f**king great, cannot beat the inflation rate ley'.
    Action: Keep searching a biz. It's supposed to be born by the end of this year!

  • Separate your saving account from your spending account.

    Rate: N/A - Not sure this will impact my saving na. Anyway, let's try and see what it will happen.
    Action: Pay 200 baht (ATM fee for a separated saving account) for a lesson and evaluate in the end of this year.

Sunday, May 11, 2008

รหัสตัวอักษรของทหาร

เอาไว้ใช้ตอนโทรศัพท์ก้อดี :-) เพราะได้คุยกะฝรั่งเยอะ ผมได้ลองคุยกะเพื่อนที่เป็นแอร์ สายการบินก้อใช้แบบนี้เหมือนกันนะ ... เริ่มกันเลยละกัน

A - Alfa
B - Bravo
C - Charlie
D - Delta
E - Echo
F - Foxtrot
G - Golf
H - Hotel
I - India
J - Juliet
K - Kilo
L - Lima
M - Mike
N - November
O - Oscar
P - Papa
Q - Quebec
R - Romeo
S - Sierra
T - Tango
U - Uniform
V - Victor
W - Whiskey
X - X-ray
Y - Yankee
Z - Zulu

Saturday, March 1, 2008

เรียนรู้จากความผิดพลาดของคุณ

This is an extract from Rich Did Poor Dad's series - "Before you quite your job" that I shared after the weekly meeting in my office.
พ่อรวยบอกว่า "ความผิดพลาดก็เหมือนกับป้ายหยุด ความผิดพลาดจะบอกกับเธอว่า 'นี่ได้เวลาหยุดแล้วนะ...หยุดซักแป้ปหนึ่ง...มีอะไรซักอย่างที่เธอไม่รู้...ได้เวลาหยุดและคิดก่อนแล้ว' "
พ่อรวยยังบอกอีกว่า "ความผิดพลาดเป็นสัญญาณว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องเรียนรู้เรื่องใหม่ บางอย่างที่เธอไม่รู้มาก่อน" และ พ่อรวยยังบอกในทำนองเดียวกันว่า "มีคนมากมายที่ขี้เกียจเกินกว่าที่เขาจะคิดแทนที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ พวกเขาคิดอย่างเดิมวันแล้ววันเล่า การคิดเป็นงานหนัก เมื่อเธอถูกบังคับให้คิด เธอจะเพิ่มความสามารถทางการคิดของเธอ เมื่อเธอเพิ่มความสามารถทางการคิดของเธอ ความมั่งคั่งของเธอจะเพิ่มขึ้น"
"ดังนั้นเมื่อไรก็ตามที่เธอทำผิดพลาด หยุด แล้วใช้โอกาสนั้นเรียนรู้สิ่งใหม่บางสิ่ง บางสิ่งที่เห็นได้ชัดว่าเธอต้องเรียนรู้ เมื่อบางอย่างไม่เป็นไปอย่างที่เธอต้องการ หรือบางสิ่งเกิดผิดพลาดขึ้น หรือเมื่อเธอล้มเหลว หยุดใช้เวลานั้นเพื่อคิด ทันทีที่เธอพบบทเรียนที่ซ่อนอยู่ เธอจะขอบคุณความผิดพลาดที่เกิดขึ้นนั้น ถ้าหากเธอรู้สึกหงุดหงิด โกรธ อับอาย เอาความผิดนั้นไปโทษคนอื่น หรือแกล้งทำเป็นว่าเธอไม่ได้ทำผิดพลาด เธอยังคิดไม่หนักพอ ความสามารถทางการคิดของเธอยังไม่เพิ่มขึ้น เธอยังไม่เรียนรู้บทเรียนนั้น ดังนั้นคิดต่อไป"
I would like to summarize as a short ... "ทุกๆความพยายาม(ความผิดพลาด)อาจจะไม่ทำให้เกิดความสำเร็จ แต่ทุกๆความสำเร็จเกิดจากความพยายาม(ความผิดพลาด)" Likes Thomas Edison... He tried 1000 times to make a bulb. Not every times can make a bulb, but the bulb can happen after 999 fails :-)

Tuesday, January 15, 2008

มีชีวิตที่ผงาดดั่งนกอินทรีย์

นกอินทรีมีชีวิตที่ยืนยาวที่สุดในบรรดาสัตว์ปีก

มันสามารถมีชีวิตได้นานถีง 70 ปี แต่ก่อนที่จะอยู่ได้นานถึงป่านนั้น
นกอินทรีต้องมีการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตของมันเมื่ออายุได้ 40 ปี

ตอนนั้นกรงเล็บที่แข็งแกร่งและยืดหยุ่นของมันจะไม่สามารถจับสัตว์เป็นอาหารได้อีก จงอยปากที่แหลมคมเริ่มโค้งงอ

เนื่องจากมันอายุถึง 40 ปีแล้วจึงมีปีกที่หนาและหนัก

ขนที่ยาวรุงรังจะไปรวมกันที่อกของมันทำให้มันบินได้ลำบากมากขึ้น
และเมื่อนั้น มันจะมีทางเลือกอยู่ 2 ทาง นั่นก็คือตายไปซะหรือจะตัดสินใจที่จะอยู่ต่อไป

ซึ่งต้องเผชิญความเจ็บปวดในขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงชีวิต เป็นระยะเวลายาวนานถึง 150 วัน
ในขั้นตอนนี้มันจะต้องบินขึ้นไปบนยอดภูเขาสูง และอยู่ที่รังของมัน

มันจะต้องใช้จงอยปากที่โค้งทื่อของมันจิกเคาะกับก้อนหิน ครั้งแล้วครั้งเล่าจนกระทั่งจงอยหลุดออกมา หลังจากนั้นมันจะต้องรอให้จงอยปากอันใหม่งอกขึ้นมา

และพอจงอยปากงอกออกมาแล้ว ที่นี้ก็ถึงตากรงเล็บที่งอกขึ้นมาใหม่ต่อจากจงอยปาก

เมื่อกรงเล็บใหม่ที่งอกขึ้นมาสมบูรณ์แล้ว
มันก็จะเริ่มจิกถอนขนที่ดกหนาแล้วผลัดขนใหม่


หลังจาก 5 เดือนหรือ 150 วันผ่านไปขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงก็จะเสร็จสมบูรณ์
นกอินทรีก็จะบินสูงทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าอีกครั้ง
พร้อมกับร้องเสียงดังก้องสะท้านฟ้า
คล้ายดังเป็นการประกาศก้องว่า ตัวข้ากำเนิดใหม่แล้ว
และจะมีชีวิตที่ยืนยาวต่อไปอีก 30 ปี....
(ถ้าไม่ถูกยิงหรือเจออุบัติเหตุตายไปก่อน)


จากชีวิตของมันทำให้เราเรียนรู้ว่า...

- หลาย ๆ ครั้ง...เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป
เราต้องมีขั้นตอน-กระบวนการเปลี่ยนแปลงตนเอง

- บางครั้งเราต้องลืมอดีตที่ขมขื่น นิสัยเก่า ๆ ที่เคยชิน
ความผิดหวังต่าง ๆ

- ดังนั้นเราจำเป็นต้องปลดปล่อยตนเองให้เป็นอิสระจากนิสัย หรือสภาพแวดล้อมเดิม ๆ
เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างราบรื่นในปัจจุบัน

Tuesday, December 4, 2007

ครั้งแรกกับเกมสนามแข่งหนู : Cash Flow (From Rich Dad Poor Dad)

บังเอิญว่ามีโอกาสได้ไปเล่นเกมส์นี้มาประมาณ 2 อาทิตย์ที่แล้ว รู้สึกว่ามีอะไรที่มัน “click” ดีเลยอยากจะเขียน review ตรงนี้เก็บความรู้สึกตรงนี้เก็บไว้ J

เกมส์ Cash Flow เป็นเกมส์ที่คิดค้นโดย Robert T. Kiyosaki หรือ ผู้แต่งหนังสือชุด Rich Dad Poor Dad series นั่นแหล่ะ เกมส์นี้คล้ายกับเกมส์เศรษฐีอ่ะนะ แต่ต่างตรงที่จะมีทางเดินให้อยู่สองทางคือ ทางเดินข้างในกับทางเดินข้างนอก ตัวหมากที่ใช้เดินจะเป็นหนูแต่งตัวดี (ตามรูปหนูที่อยู่กลางกระดานเลย) เจ้าหนูตัวนี้ต้องพยายามหาทางออกจาก ทางเดินข้างในซึ่งเปรียบได้กับ สนามแข่งหนูให้ออกไป ทางเดินข้างนอกให้ได้ ซึ่งก้อคือ ทางด่วนของคนที่มีอิสระภาพทางการเงินนั่นเอง

คนเล่นแต่ละคนจะได้รับอาชีพที่แตกต่างกันไปตามที่คนคุมเค้าสุ่มให้มีทั้งหมอ ทนาย วิศวกร เป็นต้น

ของผมได้ทนาย

- สนามแข่งหนู มันก็คล้ายๆกับ วงเวียนชีวิตของคนทำงานประจำนั่นเอง จะมี

o รับเงินเดือน ทุกๆครั้งที่เดินผ่าน เราต้องบอกให้ธนาคารจ่ายตังให้เราตามเงินเดือนแต่ละอาชีพ

o ตกงาน ตกตรงที่นี่เมื่อไหร่ก็หยุดเดินตานึง แล้วจ่ายเงินให้กับธนาคารเป็นจำนวนเงินเท่ากับจำนวนรายจ่ายต่อเดือน คือเสียทั้งเงินเสียทั้งเวลากันเลย T T

o มีลูก เพิ่มรายจ่ายต่อเดือนจ้า (ดีนะที่ไม่มีค่าจ่ายเรื่องแต่งงาน คนคิดเกมเค้าคงมองว่า มีภรรยาได้แต่ไม่ต้องมีงานแต่งก็ได้ แต่ที่แน่ๆ ลูกน่าจะมีกันซะส่วนใหญ่)

o โอกาส มีการ็ดทั้งโอกาสเล็ก (eg. หุ้น, กิจการเล็กๆ) และโอกาสใหญ่ (eg. ห้องเช่า, บ้านเช่า ) โอกาสใหญ่จะใช้เงินลงทุนมากกว่าโอกาสเล็ก อาจจะต้องกู้ธนาคารเพื่อดาวน์ โดยดอกเบี้ยจะไปเพิ่มเข้ากับรายจ่ายต่อเดือนจนกว่าจะใช้หนี้หมด

ในกรณีที่เรามีตังไม่พอจะซื้อโอกาสได้ เราอาจจะเสนอขายให้คนเล่นคนอื่น เรียกเอาค่านายหน้าได้ ;-)

o รายจ่าย ตกช่องนี้เมื่อไหร่ต้องควักเงินให้นายธนาคาร เช่น ซื้อของเครื่องใช้ในบ้าน ท่องเที่ยว จ่ายค่าปรับต่างๆนาๆ ตามการ์ดที่เราหยิบได้

o ประกาศ ซื้อ-ขาย ถ้าตกช่องนี้ ต้องหยิบการ์ดเพื่อให้ประกาศรับซื้อ-ขาย คนที่เคยซื้อโอกาสเล็ก-โอกาสใหญ่ตรงนี้ ก็จะใช้ช่องทางนี้

o บริจาค ถ้าบริจาค 10% ของรายรับรวมสามารถได้สิทธิ์ ทอยลูกเต๋าได้สองลูกพร้อมกัน (แน่นอน แต้มเยอะก้อมีสิทธิ์ผ่านช่องรับเงินเดือนได้มากกว่า 1 ครั้ง)

- ทางด่วน เส้นทางนี้จะใช้เงินลงทุนที่สูงขึ้น แต่ก็จะได้เงินตอบแทนที่สูงขึ้นด้วยเช่นกัน เงินเดือนที่เคยได้รับต่อเดือนจะเป็น 10 เท่าของจำนวนที่เราได้รับในสนามแข่งหนู เกี่ยวกับทางด่วนผมคงไม่อธิบายมากเท่าไหร่ เพราะอะไรเดี๋ยวอ่านข้างล่างละกันครับผม T T

จุดหมายของเกม อย่างที่บอกข้างต้นเราต้องพยายามหลุดออกจากสนามแข่งหนูให้ได้ ซึ่งเงื่อนไขก็คือ เราต้องมี passive income (รายได้จาก asset หรือ ทรัพย์สิน) ให้มากกว่าหรือเท่ากับ รายจ่ายในแต่ละเดือน พูดง่ายๆก้อคือ ทำยังไงก้อได้ให้มีเงินจ่ายรายจ่ายโดยที่ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินเดือนจะพอจ่ายหรือไม่

ช่วงแรกผมก็เลือกที่จะเปิดโอกาสเล็กๆก่อน ซื้อหุ้นบริษัท ประมาน 2000 บาท แต่พอผ่านไปได้ซักพักรู้สึกว่า รายได้จากทรัพย์สินยังไม่มีเลย หุ้นที่ซื้อนั้นไม่ใช่หุ้นปันผลอีกต่างหาก ระหว่างนั้นก้อได้รับเงินเดือนตามปกติมีรายจ่ายประปราย - คิดเลขแทบไม่ทัน คนคุมมาช่วยคิดเลขด้วยเลย ;-p

ผ่านไปสักพักรู้สึกว่าถ้าอยู่แบบนี้เรื่อยๆ ตูไม่หลุดจากวงเวียนสนามแข่งหนูแน่นอน ก็เลยเริ่มที่จะเลือกเปิดโอกาสใหญ่มากขึ้น ทั้งๆที่เงินในมือยังไม่พอดาวน์ ตอนที่หยิบมาแล้วยังซื้อไม่ได้ก็เลยขายให้เพื่อนเอาค่านายหน้าได้หลายหมื่นอยู่เหมือนกันเกือบแสน เริ่มจะมีจังหวะได้ครอบครองโอกาสใหญ่ที่ราคาไม่แพงมากก็ตอนที่กู้ธนาคารเพิ่ม ขายโอกาสใหญ่ไปบ้างเพื่อที่จะได้โอกาสใหญ่ที่มากกว่าเดิม ถึงตรงนี้ผมลืมรับเงินเดือนด้วยแฮะ ประมานสองสามที รับย้อนหลังก้อไม่ได้ T T

ในที่สุดผมก็หลุดมาจนได้ตอนเกือบจะหมดเวลาไม่กี่วินาที ผมจ่ายหนี้ให้กับธนาคารได้ทันพอดีหลังจากเปิดโอกาสใหญ่แต่ซื้อไม่ได้เลยเสนอขายสิทธิ์ให้เพื่อนเอาค่านายหน้าไปโปะหนี้พอดี

อย่างไรก็ตามผมยังไม่ได้ลองวิ่งบนทางด่วนเลย เพราะเวลาหมดพอดี เส้าจายย

เวลาเล่นเกมประมาน 60 นาที เทียบได้กับอายุของเราเลย ประมาณ 60 ปี แบ่งได้ 3 ช่วง

- ช่วงแรก 0-20 นาทีแรก ช่วงปรับตัวทำความเข้าใจกับกติกาต่างๆ

- ช่วงที่สอง 21-40 นาที เป็นช่วงเริ่มสร้างตัวหยิบโอกาสมากขึ้นพยายามสร้าง passive income ให้หลุดออกจากวงเวียน

- ช่วงที่สาม 41-60 นาที ช่วงปลายของชีวิตของการทำงาน

จะเห็นได้ว่าถ้าหลุดจากสนามแข่งหนูได้เร็วเมื่อไหร่ก็จะได้ใช้ชีวิตบนทางด่วนได้นานขึ้นมากเท่านั้น อย่างเคสผม ก็คงอารมรวยตอนแก่ลำบากมาตลอด ลูกหลายสบายแต่ตัวเองได้ใช้ชีวิตที่สบายไม่ทัน!

หลังจากจบเกมส์แล้วผมถามพี่ที่คุมเกมส์ว่า ทำไมผมลืมรับเงินเดือนเหรอพี่

พี่เค้าตอบว่า นายกำลัง focus อยู่กับโอกาสอยู่ไง

ได้คำตอบนี้มาในหัวผมเกิดอาการ click ทันที ผมต้องทำอะไรเพิ่มเติมให้กับชีวิตซะแล้ว ถ้าอยู่อย่างนี้ รอรับเงินเดือนไปเรื่อยๆ ผมก็คงได้แต่วิ่งวนในสนามแข่งหนูอยู่เรื่อยๆ ไม่สามารถออกมาได้แน่นอน

ถ้าใครสนใจอยากลองเล่นเกมส์นี้ก้อหลังไมค์ได้ครับผม เจอกันที่ทางด่วน นะครับ ผมกะลังจะพยายามด้วยเหมือนกัน ;-)

คราวหน้าผมจะเขียนเกี่ยวกับความสำเร็จ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันครับ